วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การบันทึกสมุดรายวันทั่วไป

การบันทึกรายการค้าลงในสมุดรายวันทั่วไป
สมุดรายวันทั่วไป (General Journal) คือ สมุดที่ใช้บันทึกรายการขั้นต้นได้ทุกเรื่อง ในกรณีที่กิจการมี
สมุดรายวันทั่วไปเล่มเดียว หรือใช้บันทึกเฉพาะรายการที่ไม่อาจบันทึกในสมุดรายวันเฉพาะ
เล่มอื่นได้ในกรณีที่กิจการนั้นมีสมุดรายวันหลายเล่ม ซึ่งการบันทึกบัญชีจะทำต่อจาการวิเคราะห์รายการค้า



รายการเปิดบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป
รายการเปิดบัญชี (Opening Entries) หมายถึงรายการแรกของการบันทึกบัญชีในสมุดรายวันทั่วไป ซึ่งจะบันทึกเมื่อมีการลงทุนครั้งแรก และเริ่มระยะเวลาบัญชีใหม่
การลงทุนครั้งแรกมี 3 กรณี คือ

กรณี 1 นำเงินสดมาลงทุน
ตัวอย่าง ม.ค.1 2546 นายเลิศนำเงินสดมาลงทุน 10,000 บาท



กรณีที่ 2 นำเงินสดและสินทรัพย์อื่นมาลงทุน ซึ่งจะต้องบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไปแบบรวม (Compound Journal Entry)
ตัวอย่าง วันที่ 1 มกราคม 2556 นายเลิศนำเงินสดมาลงทุน 10,000 บาท เงินฝากธนาคาร 5,000บาท อาคาร 200,000 บาท



กรณีที่ 3 นำเงินสด สินทรัพย์อื่น และหนี้สินมาลงทุน การบันทึกรายการจะต้องเขียนเงินสด สินทรัพย์อื่นให้หมดก่อน ต่อไปเขียนหนี้สินแล้วจึงเขียนทุน
ตัวอย่าง วันที่ 1 มกราคม 2546 นายเลิศนำเงินสด 10,000 บาท เงินฝากธนาคาร 5,000 บาท
อาคาร 200,000 บาท และรับโอนเจ้าหนี้การค้า 50,000 มาลงทุน






เริ่มรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ (งวดบัญชีใหม่)
รอบระยะเวลาบัญชี หมายถึง ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ต้องแสดลงผลการดำเนินงาน
และฐานะการเงินของกิจการ ตามกฎหมายกำหนดรอบระยะเวลาบัญชีให้มีระยะเวลา 12 เดือน นับตั้งแต่วันเริ่มกิจการหรือรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ ยกเว้นรอบระยะเวลาบัญชีเพิ่งเริ่มกิจการอาจไม่ครบ 12 เดือนก็ได้
ตัวอย่างการบันทึกรายการค้าลงในสมุดรายวันทั่วไป



การผ่านรายการไปยังบัญชีแยกประเภท
สมุดบัญชีแยกประเภท หมายถึง สมุดบันทึกรายการขั้นปลายซึ่งต่อจากการบันทึกในสมุดรายวันขั้นต้นและเป็นที่รวบรวมของบัญชีแยกประเภทต่างๆ เป็นหมวดหมู่ไว้ในเล่มเดียวกัน
สมุดบัญชีแยกประเภทแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ สมุดบัญชีแยกประเภททั่วไป และสมุดบัญชีแยกประเภทย่อย
การที่จะทำการบันทึกรายการค้าในบัญชีแยกประเภทต่างๆ ให้ละเอียดและเป็นระเบียบเรียบร้อยสะดวกแก่การจัดทำรายงานเพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงและค้นหาภายหลังนั้น ควรจัดทำบัญชีต่างๆให้เป็นหมวดหมู่และกำหนดเลขที่สำหรับหมวดหมู่บัญชีไว้ใน ผังบัญชี ดังนี้
1. หมวดสินทรัพย์ เลขที่ 100 – 199
2. หมวดหนี้สิน เลขที่ 200 – 299
3. หมวดส่วนของเจ้าของ เลขที่ 300 – 399
4. หมวดรายได้ เลขที่ 400 – 499
5.หมวดค่าใช้จ่าย เลขที่ 500 – 599
*การกำหนดเลขที่บัญชีจะให้ตัวเลขกี่หลักก็ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของแต่ละกิจการ
การผ่ายรายการไปยังบัญชีแยกประเภท
  • เปิดบัญชีแยกประเภท โดยเรียงลำดับตามเลขที่บัญชีที่กำหนดไว้ในผังบัญชีของกิจการ
  • ผ่ายรายการจากสมุดรายวันทั่วไป ตามลำดับวันที่ที่เกิดรายการขึ้น โดยนำตัวเลขจากสมุดรายวันทั่วไปใส่ไว้ในบัญชีแยกประเภท ถ้าตัวเลขในสมุดรายวันอยู่ด้านเดบิตก็ลงในบัญชีแยกประเภทด้านเดบิต ถ้าอยู่ด้านเครดิตก็ลงด้านเครดิต ในช่องรายการให้อ้างบัญชีตรงข้าม






การวิเคราะห์รายการค้า1

การวิเคราะห์รายการค้า รายการค้า หมายถึง การดำเนินงานในทางการค้าที่ทำให้เกิดการโอนเงินหรือสิ่งของ มีค่าเป็นเงินระหว่างกิจการค้ากับบุคคลภายนอก เช่น นำเงินสดมาลงทุน ซื้อสินค้าเป็นเงินสด ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ เป็นต้น ในการดำเนินธุรกิจย่อมมีรายการค้าและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา รายการค้า ที่เกิดขึ้นจะมีผลทำให้สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่มขึ้น หรือลดลงและเมื่อวิเคราะห์รายการค้าได้ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว จึงนำไปบันทึกลงสมุดบัญชีต่างๆ หลักในการวิเคราะห์รายการค้าขั้นต้น 5 ประการ คือ 1. สินทรัพย์เพิ่ม (+) ส่วนของเจ้าของเพิ่ม (+) 2. สินทรัพย์ลด (-) ส่วนของเจ้าของลด (-) 3. สินทรัพย์อย่างหนึ่งเพิ่ม (+) สินทรัพย์อีกอย่างหนึ่งลด (-) 4. สินทรัพย์เพิ่ม (+) หนี้สินเพิ่ม (+) 5. สินทรัพย์ลด (-) หนี้สินลด (-) ตัวอย่างการวิเคราะห์รายการค้า 1. นางสาวยอดมณีนำเงินสดมาลงทุนในร้าน “ยอดมณี บริการ” จำนวนเงิน 40,000 บาท สินทรัพย์เพิ่ม (+) ส่วนของเจ้าของเพิ่ม(+) เงินสด 40,000.- ทุน-นางสาวยอดมณี 40,000.- ให้บริการเสริมสวยนางประภาศรี 2,000 บาท ยังไม่ได้รับเงิน สินทรัพย์เพิ่ม (+) ส่วนของเจ้าของเพิ่ม(+) ลูกหนี้-นางประภาศรี 2,000.- รายได้ค่าเสริมสวย 2,000.- 2. นางสาวสุดสวยถอนใช้ส่วนตัว 5,000.-บาท สินทรัพย์ลด (-) ส่วนของเจ้าของลด (-) เงินสด 5,000.- ถอนใช้ส่วนตัว 5,000.- 3. ซื้ออุปกรณ์สำนักงาน 3,000.- สินทรัพย์อย่างหนึ่งเพิ่ม (+) สินทรัพย์อีกอย่างหนึ่งลด (-) อุปกรณ์สำนักงาน 3,000.- เงินสด 3,000.- 4.ซื้อวัสดุในการให้บริการเป็นเงินเชื่อจากร้านนานาภัณฑ์ 8,000 บาท สินทรัพย์เพิ่ม (+) หนี้สินเพิ่ม(+) วัสดุ 8,000.- เจ้าหนี้-ร้านานาภัณฑ์ 8,000.- 5.จ่ายเงินชำระหนี้นายโหด 4,500.-เป็นเงินสด สินทรัพย์ลด (-) หนี้สินลด (-) เงินสด 4,500.- เจ้าหนี้-โหด 4,500.- การเพิ่มขึ้นและลดลงของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของมีผลทำให้สมการบัญชีมี การเปลี่ยนแปลง แต่สภาพความสมดุลของสมการบัญชีไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เนื่องจาการวิเคราะห์ รายการค้าแต่ละรายการจะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างน้อย 2 ด้านเสมอ รายการค้าที่เกิดขึ้นจะนำ ไปบันทึกบัญชีในประเภทสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ ลักษณะของบัญชีคู่แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ 1. ด้านซ้ายของบัญชี เรียกว่า ด้านเดบิต (Debit = Dr.) 2. ด้านซ้ายของบัญชี เรียกว่า ด้านเครดิต (Credit = Cr.) หลักการบันทึกบัญชี 1. การบันทึกบัญชีประเภทสินทรัพย์ สินทรัพย์เพิ่ม บันทึกบัญชี ด้านเดบิต (Dr.) สินทรัพย์ลด บันทึกบัญชี ด้านเครดิต (Cr.) 2. การบันทึกบัญชีประเภทหนี้สิน หนี้สินเพิ่ม บันทึกบัญชี ด้านเครดิต (Cr.) หนี้สินลด บันทึกบัญชีด้านเดบิต (Dr.) 3.การบันทึกบัญชีประเภทส่วนของเจ้าของ (ทุน) ส่วนของเจ้าของ (ทุน) เพิ่ม บันทึกบัญชี ด้านเครดิต (Cr.) ส่วนของเจ้าของ (ทุน) ลด บันทึกบัญชีด้านเดบิต (Dr.)

การวิเคราะห์รายการค้า
               รายการค้า หมายถึง การดำเนินงานในทางการค้าที่ทำให้เกิดการโอนเงินหรือสิ่งของ
มีค่าเป็นเงินระหว่างกิจการค้ากับบุคคลภายนอก เช่น นำเงินสดมาลงทุน ซื้อสินค้าเป็นเงินสด ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ เป็นต้น
                ในการดำเนินธุรกิจย่อมมีรายการค้าและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา รายการค้า
ที่เกิดขึ้นจะมีผลทำให้สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของเปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่มขึ้น
หรือลดลงและเมื่อวิเคราะห์รายการค้าได้ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว จึงนำไปบันทึกลงสมุดบัญชีต่างๆ


 หลักในการวิเคราะห์รายการค้าขั้นต้น 5 ประการ คือ




1. สินทรัพย์เพิ่ม (+)         ส่วนของเจ้าของเพิ่ม (+)

2. สินทรัพย์ลด (-)            ส่วนของเจ้าของลด (-)

3. สินทรัพย์อย่างหนึ่งเพิ่ม (+)        สินทรัพย์อีกอย่างหนึ่งลด (-)

4. สินทรัพย์เพิ่ม (+)                   หนี้สินเพิ่ม (+)

5. สินทรัพย์ลด (-)                   หนี้สินลด (-)



ตัวอย่างการวิเคราะห์รายการค้า
1. นางสาวยอดมณีนำเงินสดมาลงทุนในร้าน “ยอดมณี บริการ” จำนวนเงิน 40,000 บาท

                         สินทรัพย์เพิ่ม (+)                     ส่วนของเจ้าของเพิ่ม(+)

                           เงินสด 40,000.-                  ทุน-นางสาวยอดมณี 40,000.-

    ให้บริการเสริมสวยนางประภาศรี 2,000 บาท ยังไม่ได้รับเงิน

                         สินทรัพย์เพิ่ม (+)                   ส่วนของเจ้าของเพิ่ม(+)

                     ลูกหนี้-นางประภาศรี 2,000.-        รายได้ค่าเสริมสวย 2,000.-

2. นางสาวสุดสวยถอนใช้ส่วนตัว   5,000.-บาท

                         สินทรัพย์ลด (-)            ส่วนของเจ้าของลด (-)

                           เงินสด 5,000.-                    ถอนใช้ส่วนตัว 5,000.-    
                  
3. ซื้ออุปกรณ์สำนักงาน 3,000.-

                      สินทรัพย์อย่างหนึ่งเพิ่ม (+)        สินทรัพย์อีกอย่างหนึ่งลด (-)

                         อุปกรณ์สำนักงาน  3,000.-       เงินสด 3,000.-

4.ซื้อวัสดุในการให้บริการเป็นเงินเชื่อจากร้านนานาภัณฑ์ 8,000 บาท

                        สินทรัพย์เพิ่ม (+)                     หนี้สินเพิ่ม(+)

                          วัสดุ 8,000.-                       เจ้าหนี้-ร้านานาภัณฑ์ 8,000.-

5.จ่ายเงินชำระหนี้นายโหด   4,500.-เป็นเงินสด

                         สินทรัพย์ลด (-)                   หนี้สินลด (-)

                        เงินสด   4,500.-                  เจ้าหนี้-โหด 4,500.-

               การเพิ่มขึ้นและลดลงของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของมีผลทำให้สมการบัญชีมี
การเปลี่ยนแปลง แต่สภาพความสมดุลของสมการบัญชีไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เนื่องจาการวิเคราะห์
รายการค้าแต่ละรายการจะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างน้อย 2 ด้านเสมอ รายการค้าที่เกิดขึ้นจะนำ
ไปบันทึกบัญชีในประเภทสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ

 ลักษณะของบัญชีคู่แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ
1. ด้านซ้ายของบัญชี เรียกว่า ด้านเดบิต (Debit = Dr.)
 2. ด้านซ้ายของบัญชี เรียกว่า ด้านเครดิต (Credit = Cr.)

หลักการบันทึกบัญชี
1. การบันทึกบัญชีประเภทสินทรัพย์

               สินทรัพย์เพิ่ม บันทึกบัญชี ด้านเดบิต (Dr.)
                สินทรัพย์ลด บันทึกบัญชี ด้านเครดิต (Cr.)


2. การบันทึกบัญชีประเภทหนี้สิน
               หนี้สินเพิ่ม บันทึกบัญชี ด้านเครดิต (Cr.)
                หนี้สินลด บันทึกบัญชีด้านเดบิต (Dr.)



3.การบันทึกบัญชีประเภทส่วนของเจ้าของ (ทุน)
                ส่วนของเจ้าของ (ทุน) เพิ่ม บันทึกบัญชี ด้านเครดิต (Cr.)
               ส่วนของเจ้าของ (ทุน) ลด บันทึกบัญชีด้านเดบิต (Dr.)
พระไตรปิฏก


ความหมายของ พระไตรปิฎก
ตู้พระไตรปิฏก
วัดระฆังโฆสิตาราม
พระไตรปิฏก แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำๆ ว่า พระ + ไตร + ปิฏก คำว่า "พระ" เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า "ไตร" แปลว่า สาม คำว่า "ปิฏก" แปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่า คัมภีร์ หรือแปลว่า กระจาด ตะกร้า
ดังนั้น พระไตรปิฏก จึงหมายถึง สิ่งที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ไม่ไห้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของนั้นเอง

ปิฏก ๓ หรือพระไตรปิฏก แบ่งออกเป็น
๑. พระวินัยปิฏก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
๒. พระสุตตันตปิฏก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วไป
๓. พระอภิธรรมปิฏก ว่าด้วยธรรมล้วนๆ หรือธรรมสำคัญ




พระวินัยปิฏก
คัมภีร์ว่าด้วยระเบียบวินัย
พระสุตตันตปิฏก
คัมภีร์ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วๆ ไป มีประวัติ และท้องเรื่องประกอบ เน้นความสำคัญในสมาธิ คือการพัฒนาด้านจิตใจ
พระอภิธรรมปิฏก
คัมภีร์ว่าด้วยหลักธรรม และคำอธิบาย ที่เป็นเนื้อหาวิชาการล้วนๆ ไม่มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ
ความสำคัญของพระไตรปิฎก
ก่อนปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสทำนองสั่งเสียกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานล่วงลับไปแล้ว จะไม่ทรงตั้งภิกษุรูปใดแทนพระองค์ หากแต่ให้ชาวพุทธทั้งหลายยึดพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ตามพระพุทธพจน์ว่า "โย โว อานนฺท มยาธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา" แปลว่า ดูก่อน อานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราได้แสดงแล้วและบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น เป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลที่เราล่วงลับไป
พระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า พระธรรมวินัย ถือเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงเท่ากับเป็นองค์พระศาสดาและเป็นตัวแทนพระพุทธศาสนา และพระธรรมวินัยทั้งหลายนั้นล้วนได้ประมวลอยู่ใน พระไตรปิฏก ทั้งสิ้น
อาจกล่าวได้ว่า พระไตรปิฏก มีความสำคัญดังนี้ คือ
๑. เป็นที่รวบรวมไว้ซึ่งพระพุทธพจน์ คือคำสั่งของพระพุทธเจ้า
๒. เป็นที่สถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน เราสามารถเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือรู้จักพระพุทธเจ้าได้จากพระไตรปิฏก
๓. เป็นแหล่งต้นเดิมหรือแม่บทในพระพุทธศาสนา
๔. เป็นมาตรฐานตรวจสอบคำสอนและข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา คำสอนและข้อปฏิบัติใดๆ ที่จะถือว่าเป็นคำสอนและข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนาได้ จะต้องสอดคล้องกับพระธรรมวินัยในพระไตรปิฏก
๕. เป็นคัมภีร์ที่ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ทางวิชาการ